โรคไข้เลือด เป็นหนึ่งในโรคประจำถิ่นในทุกประเทศเขตร้อนของโลกรวมทั้งประเทศไทย ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี มียุงลายหรือยุงรำคาญเป็นพาหะนำโรคมาสู่คน และในปัจจุบันมีประชากรประมาณ 4 ล้านคนติดเชื้อไวรัสเดงกีทุกปี ราว 20-25% มีอาการป่วย ราว 1-5% ของผู้ป่วยมีอาการช็อคจากภาวะการไหลเวียนของเลือดล้มเหลวหรือเลือดออกมาก สำหรับไวรัสเดงกีมี 4 สายพันธุ์ โดยแต่ละสายพันธุ์มีความแตกต่างของสายพันธุกรรมราว 30-35% ความแตกต่างของไวรัสเดงกีสายพันธุ์ในระดับนี้ ทำให้ต้องพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกให้ครบทั้ง 4 สายพันธุ์ จึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะนำไปใช้ป้องกันโรคไข้เลือดออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ม.มหิดล กับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และทางกายภาพ
มหาวิทยาลัยมหิดล มีการพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกเดงกีมานานกว่า 40 ปี และกำลังดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายก่อนจะนำผลิตภัณฑ์มาใช้ในตลาดโลก โดยได้มีการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีน โดยมี ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ. สุธี ยกส้าน เป็นผู้บริหารและผู้วิจัยหลัก โดยแรกเริ่ม Transfer Technology จากสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย จากความร่วมมือของทีมงานวิจัยไทยกับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศภายใต้การสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลกทั้งที่เจนีวาและอินเดีย เป็นระยะเวลานานกว่า 25 ปี ทำให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีนสามารถผลิตผลงานวัคซีนที่มีมาตรฐานในระดับสากลได้ ผ่านการพัฒนาคัดเลือกเทคโนโลยีที่มีความเฉพาะในการคัดเลือกเชื้อไวรัสที่เหมาะสมสำหรับการใช้เป็นวัคซีน มีการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนตัวเลือกในหลอดทดลอง สัตว์ทดลอง อาสาสมัครผู้ใหญ่และผู้เยาว์ ภายใต้การตรวจสอบความปลอดภัยและการสร้างภูมิคุ้มกันของเชื้อวัคซีนแต่ละสายพันธุ์ตลอดทั้งการรายงานผลการทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนทุกขั้นตอน ทั้งยังผ่านการตรวจสอบจากองค์การอนามัยโลกที่ได้จัดตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญ (WHO Peer Review Committee) มาตรวจสอบฟังรายงานความก้าวหน้าทางวิชาการและตรวจสอบข้อมูลดิบ (raw data) เป็นประจำทุกปี เป็นที่เชื่อถือได้ในระดับสากลส่งผลให้ฝ่ายเอกชนจากหลากหลายประเทศตัดสินใจในการร่วมลงทุนพัฒนานวัตกรรมวัคซีน
ศ.นายแพทย์ สุธี กล่าวว่า “การพัฒนาวัคซีนเดงกีทั้ง 4 ชนิดเป็นผลจากการเรียนรู้หลัก 2 ประการ ได้แก่การค้นหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับไวรัสเดงกี มีการลองผิดลองถูก มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระจากต่างประเทศจนเกิดความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งต้องการความเชื่อมั่นในระดับสูงสุด ผลสำเร็จอีกประการหนึ่งที่ผู้วิจัยเรียนรู้คือ technology ของการทำวัคซีนรวม 4 ชนิด (tetravalent) โดยสามารถปลูกสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อไวรัสเดงกีแต่ละชนิดได้ครบ
ทั้ง 4 สายพันธุ์เพื่อฉีดรวมกันในเข็มเดียว ภูมิคุ้มกันนั้นต้องอยู่ในระดับที่สูงและสามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันพร้อม ๆ กัน (balance immune response) แม้จะเผชิญอุปสรรคนานับประการ แต่ทุก ๆ ฝ่ายสามารถช่วยกันขับเคลื่อนงานให้ก้าวหน้าไปได้ดีตามเป้าหมาย อาจสรุปได้ว่าผู้คนทุกคนสามารถได้รับวัคซีนชนิด 1 เข็มนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย (1-2 ขวบ) ตลอดจนถึงผู้สูงอายุ โดยไม่ต้องทำการเจาะเลือดก่อนฉีดวัคซีน ไม่ต้องฉีดวัคซีนซ้ำหลายครั้ง (2-3 ครั้ง) โดยไม่ต้องกังวลถึงกลไกการเกิดโรคไข้เลือดออกที่รุนแรงเมื่อติดเชื้อจากธรรมชาติหลังจากการได้รับวัคซีน สำหรับหน่วยงานป้องกันและควบคุมโรคในระดับประเทศหรือองค์การอนามัยโลกควรจะพิจารณานำวัคซีนเข้าสู่โครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (Expand Program on Immunization) ในอนาคตที่ไม่นานเกินรอเราควรจะเห็น การตีกรอบโรคไข้เลือดออก ให้อยู่ในวงแคบที่สุด ”
ความร่วมมือระดับนานาชาติ / ความเชื่อมโยงผลิตวัคซีนไข้เลือดออกระดับอุตสาหกรรมในปัจจุบัน
เริ่มตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2011 มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มอบสิทธิบัตรการพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกให้กับบริษัท Kaketsuken (ปัจจุบันบริษัท Kumamoto Meiji Biologics) ของประเทศญี่ปุ่น โดยมีการทดสอบวัคซีนดังกล่าว phase 1 ในคนที่ประเทศออสเตรเลีย จากผลสำเร็จครั้งนี้ทำให้บริษัทดำเนินการใน phase 2 และ 3 ต่อไป ภายใต้การสนับสนุนอย่างแข็งขันของรัฐบาลญี่ปุ่น และในปัจจุบันโครงการวิจัยวัคซีนเดงกีได้รับทุนสนับสนุนกว่า 9.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 296 ล้านบาท) จากการ license นวัตกรรมวัคซีน และการ Transfer Technology ให้แก่บริษัทอุตสาหกรรมวัคซีนจากต่างประเทศ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้แก่มหาวิทยาลัยกว่า 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 87.5 ล้านบาท) นอกจากนี้ทางโครงการยังได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหลายหน่วยงานในประเทศ อาทิ สภาวิจัยแห่งชาติ ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านวิชาการทาวิทยาศาสตร์ (TCELs) และกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข
พิธีลงนามมอบสิทธิบัตรการพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออก (25 ตุลาคม 2554)
Mr.Akinobu Funatsu ผู้จัดการใหญ่/ประธานกรรมการบริหาร ร่วมในพิธีลงนามกับศาสาตรจารย์คลินิก น.พ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร
เป็นผู้ลงนามในฐานะตัวแทนของทั้ง 2 ฝ่าย ที่มหาวิทยาลัยมหิดล
บทบาทการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา
นอกจากความสำเร็จในด้านการพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกแล้ว สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยมหิดล หรือ iNT ยังได้ดำเนินการตรวจสอบและจัดการทรัพย์สินทางปัญญาอย่างรอบคอบ มีการจัดสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กระจายรายได้กลับคืนสู่มหาวิทยาลัยและทีมผู้คิดค้นผลงาน
ความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยและบทบาทสำคัญของ iNT มหาวิทยาลัยมหิดล
ในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีผลกระทบสูงต่อสุขภาพของประชาชนในระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมทั้งยังเป็นหน่วยงานที่ช่วยส่งเสริมการต่อยอดงานวิจัยให้ถูกนำไปสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม หรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม รวมไปถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับงานวิจัยในการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ สามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศได้อีกมหาศาล